“วิกรม” ร่วมขับเคลื่อน ปราบเพจหลอกลงทุน สร้างเกาะคุ้มกันให้ประชาชน เชื่อหยุดการเสียทรัพย์ กระทุ้งทุกหน่วยร่วมบูรณาการ ปราบอาชญากรไซเบอร์ เอาจริงทางกฎหมาย เสนอแนะ สานความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ ศึกษาเคสประเทศประสบความสำเร็จในกระบวนการปราบปราม พร้อมเสนอรัฐบาลใหม่ เร่งแก้ปัญหาปากท้องประชาชนอันดับแรก ลดปัญหาทางสังคม เดินหน้าดันเศรษฐกิจไทยโตต่อเนื่อง
นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด(มหาชน ) AMATA เปิดเผยภายหลัง งานแถลงข่าวโครงการ “ร่วมมือ-จับปลอมหลอกลงทุน” พร้อมรับฟังเสวนา “รู้ทันหลอกลงทุน ด้วยภูมิคุ้มกันความลวง” จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ว่า ความร่วมมือของหลายองค์กรที่ร่วมกันในการขับเคลื่อนการทำงาน เพื่อแจ้งเตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพบนโลกออนไลน์ ที่หลอกลวงให้เกิดการลงทุน และสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินจำนวนมาก ซึ่งปัญหาดังกล่าวกลุ่มอมตะ ได้ดำเนินการทางกฎหมายมากว่า 1 ปี ที่สามารถจับกุมคนร้ายได้กว่า 50 ราย ในปีที่ผ่านมา และล่าสุดสามารถจับกุมได้ 9 ราย มีหลบหนีอีก 3 ราย เป็นรูปแบบการจัดทำสื่อขึ้นเอง โดยนำรูปของตนเอง และเครื่องหมายของบริษัทอมตะไปสร้างความน่าเชื่อถือ ให้เกิดการลงทุน แม้ว่าจะมีการสื่อสารและให้ข้อเท็จจริงอย่างต่อเนื่อง ย้ำถึงแนวทางการลงทุนในกลุ่มอมตะ ต้องผ่านกลไกการลงทุน จากตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น ไม่มีการเชิญชวนให้ลงทุนโดยส่วนตัวในทุกกรณี
“จากผลกระทบที่เกิดขึ้น คนส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบ เป็นแฟนคลับของตน ที่ติดตามผลงานผ่านหนังสือ และการออกสื่อ ทำให้เป็นช่องว่างของกลุ่มมิจฉาชีพนำไปสร้างเพจเพื่อหลอกลวง ซึ่งตนรู้สึกในเหตุการณ์นี้ ผมเปรียบเสมือนเป็นผู้ต้องหา ที่ทำให้เกิดผลกระทบกับแฟนคลับและประชาชน ซึ่งกลุ่มอมตะ ไม่เคยนิ่งนอนใจ ดำเนินการหาคนกระทำผิดมาโดยตลอด แต่ดูเหมือนว่า ต้องอาศัยความร่วมมือทุกฝ่าย คงทำเพียงลำพังไม่ได้ ต้องเกิดการขับเคลื่อนโดยทุกฝ่าย โดยเฉพาะเอาจริงเอาจัง ด้านกฎหมาย และอาจต้องขยายผลความร่วมมือไปยัง ต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จในการปราบปราม อาชญากรรมทางไซเบอร์ ซึ่งถือเป็นประเทศต้นกำเนิดของการเกิดกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวง ไม่ว่าจะเป็นจีน และ ไต้หวัน”
นายวิกรมกล่าวว่า ลักษณะของการลงทุนของมิจฉาชีพ ที่สร้างแรงดึงดูด จูงใจ ที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 3-7% ต่อสัปดาห์ ยืนยันได้ว่าไม่มีรูปแบบการลงทุนใด ๆ ให้ผลตอบแทนได้สูงขนาดนั้น อย่างไรก็ตามการหลอกลวงให้เกิดการลงทุน ในช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่ายังไม่สามารถให้ความรู้ได้ในวงกว้าง โดยเฉพาะประชาชนทั่วไปที่ไม่มีประสบการณ์ด้านการลงทุน หรือความรู้เรื่องอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง เมื่อเห็นการเชิญชวนแบบน่าเชื่อถือ ก็อาจมีผลต่อการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนได้ ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะมีส่วนสำคัญ ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ในวงกว้างมากขึ้น
สำหรับความคาดหวังต่อรัฐบาลใหม่ ที่เข้ามาบริหารประเทศ ต้องการให้ยึดหลักการขับเคลื่อนเศษฐกิจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอันดับแรก เพื่อเร่งแก้ปัญหาปากท้อง ให้คนไทยกินดีอยู่ดี และผลักดันการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) โตขึ้น 5-7% ในระยะเวลา 2-3 ปีนี้ เพื่อลดปัญหาทางสังคมของประเทศที่กำลังเผชิญอยู่ ทั้งอาชญกรรม และคนจนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนตัวอย่างจากหลายประเทศ เช่นจีนและ อินโดนีเซีย ที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตเฉลี่ย 9% มาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบันมีภาพรวมทางเศรษฐกิจที่ดี จำนวนคนจนลดลง จากอดีตที่เคยมีคนจนสูงที่สุดในโลก
“ผมคาดหวัง ว่ารัฐบาลที่จะมาบริหารประเทศ จะต้องมองเรื่องปากท้องเป็นเรื่องใหญ่ และสิ่งที่ต้องตามมา คือเรื่องเศรษฐกิจสีเขียว โดยต้องสนับสนุนอุตสาหกรรม การลงทุนที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ และเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และเน้นการพัฒนาที่มีเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่นำไปสู่การสร้างความยั่งยืน ซึ่งวันนี้เราไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง รายได้ต่อหัวจึงไม่สูงขึ้น หากเทียบจีน เวียดนาม ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ที่ได้เม็ดเงินลงทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การจัดตั้งรัฐบาลที่ยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ยอมรับว่า มีผลต่อการตัดสินใจการลงทุน จากกลุ่มลูกค้าอมตะที่ชะลอการตัดสินใจการลงทุนในขณะนี้บางส่วน เนื่องจากมีความกังวล เรื่องของการชุมนุม ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ จากประสบการณ์ที่นักลงทุนเคยเผชิญมาก่อนในไทย เมื่อ 9-10 ปีที่ผ่านมา เพราะมองว่าเป็นเรื่องความขัดแย้งของคนในประเทศ ที่จะอาจจะส่งผลต่อการประท้วง และขยายความรุนแรงหรือไม่ จึงเป็นเรื่องที่นักลงทุนเป็นห่วงว่าจะเกิดสิ่งเหล่านี้ได้ จึงมีการประเมินสถานการณ์การลงทุนอีกครั้ง
ส่วนเรื่องกรณีที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ที่มีนโยบายปรับค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท มองว่า ประเด็นดังกล่าว ไม่ควรต้องใช้ประชานิยม แต่การปรับขึ้นค่าแรง ต้องมีเหตุ และผลในการเพิ่มค่าแรง ซึ่งเห็นด้วยว่า ค่าแรงงานไทยไม่สูง แต่การปรับขึ้นจำเป็นต้องเป็นขั้นเป็นตอน เช่น มาตรฐานการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำต้องขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ต่อปี โดยต้องพิจารณาจากดัชนีเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ มีผลต่อการเพิ่มค่าแรงได้กี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่ใช้แรงงานจำนวนมาก การปรับขึ้นจะต้อง ALL WIN ที่ทุกฝ่ายต้องได้รับประโยชน์ หากผู้ประกอบการได้รับกระทบ และต้องปิดตัวลง แรงงานได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน รัฐบาลก็ต้องมีการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกันเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้
ทั้งนี้ ประชาชน และนักลงทุน สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทร. 0610350007 และ
02-7920000